2008-03-26

26 มีค. 51 ครบหนึ่งปีแล้วสินะ...

...วันนี้ 26 มีนาคม เมื่อหนึ่งปีที่แล้วเราถูกเรียกให้เข้าพบผู้อำนวยการที่ทำงานเก่า แล้วก็ทราบว่าถูกให้ออกจากงานเนื่องจากมีความผิดร้ายแรง เออสะใจดีเหมือนกันทำงานมาด้วยความจงรักภักดีตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปี จนที่ทำงานกลายเป็นเหมือนบ้านไปแล้ว ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าจะเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้ แต่มันก็ทำให้เราเข้าใจแล้วว่าไม่มีอะไรแน่นอน ขอบคุณประสบการณ์ที่ดีอีกครั้งหนึ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของเรา เพราะมันทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และยังทำให้เราได้เรียนรู้คนอีกหลาย ๆ คนที่อยู่รอบ ๆ ข้างเราว่าใครเป็นอย่างไร ขอบคุณ ๆ

2008-03-17

ประวัติการติดต่องานกับ รพ. มิชชั่น

...วันที่ 14 มีค. 51 เวลาบ่ายโมงถึงประมาณบ่ายสองโมงกว่า เราได้ไปพบ มร.จอร์จ และคุยเรื่องเดิมที่เคยส่งจดหมายไปอธิบายเรื่องต่าง ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนอย่างนี้ ไม่เคยพบคนแบบนี้จริง ๆ นิสัยเหมือนเด็กอมหมือไม่มีผิดเลย ไม่ยอมรับอะไรแถมยังแต่งเรื่องมาให้ผิดเราอีก เราละก็สรุปไปเลยว่า ขอให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน พระเจ้ารู้ว่าอะไรจริงและเท็จ และเจตนาใครเป็นอย่างไร มากล่าวหากันได้ไงว่า หลายคนที่อยากเป็นคริสเตียนแต่ไม่มาเป็นเพราะเห็นการทำตัวของเรา แล้วทำให้เขาไม่อยาก กลายเป็นว่าเราชั่วถึงขนาดนั้นเลยหรือนี่ โธ่
...แล้วยังมายุให้เรา แตกแยกกับโจอีก บอกว่าว่าโจได้มาให้ข้อมูลไว้หมดแล้วว่าเราพยายามที่จะหาข้อมูลจากโจ หลังจากที่เขาถูกเรียกไปสัมภาษณ์ โดยการโทรไปสอบถาม เรายังไม่เคยโทรไปหาโจเลย เบอร์เราก็ไม่มีแล้ว เค้าเอาอะไรมาพูดนิ แต่งเรื่องใส่ร้ายกันชัด ๆ เลย
...กลุ่มคนที่เราสร้างมิตรภาพไว้ และดีกับเราก็บอกว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลของเราอีก แล้วจะให้เราอยู่อย่างไรว่ะเนี่ย อยากให้อยู่แบบเค้ากันเหรอ อยู่แบบไม่เคยยิ้ม และไม่เคยมีคนที่จริงใจด้วย ช่างน่าสมเพชจริง ๆ

เพื่อน...

...เพื่อนดี และเพื่อนไม่ดีวัดกันด้วยอะไรน้ะยากในการที่จะบอกว่าว่าใครดีหรือไม่ดี แต่โดยความรูสึกที่เป็นมนุษย์ก็คือถ้าใครดีกับเราก็คิดไปแล้วว่าเขาดี(กับเรา) แท้จริงเราไม่รู้เขาหวังอะไรหรือคิดอะไรในใจ กลุ้มจริง ๆ เลย แต่พระเจ้าคือเพื่อนที่ดีและดีตลอดการด้วย

2008-03-13

ค่ายผู้อาวุโสที่แก่งกระจาน เจ็ดถึงเก้ามีนา ห้าหนึ่ง...

...รถออกจากร.พ.มิชชั่นเกือบบ่ายสี่โมงแล้ว มีรถ สองคัน เป็นรถตู้คันหนึ่ง และรถบิกอัพคันหนึ่งเรามุ่งหน้าไปยังแก่งกระจานเพื่อจะเข้าค่ายที่นั่น เป้าหมายคือการนอนเต้นท์อยู่ที่นั่น สองคืนด้วยกันมีผู้ร่วมเข้าค่ายหลายคนเหมือนกัน ขับรถมานานหลายชั่วโมงก็มาถึงแก่งกระจานเราตั้งหน้า ตั้งตากันตั้งเต้นท์เพื่อนอนสำหรับคืนนี้
...หลังจากกางเต้นท์เสร็จเรียบร้อยเราเริ่มทำกับข้าวกันสำหรับมื้อเย็น ทุกคนต่างช่วยกันคนละไม้ละมือปรุงอาหารตามที่สามารถจำทำได้ อาหารมือเย็นนี้ต้องอร่อยแน่นอน ผู้อาวุโสก็นั่งอ่านหนังสือ ดูลูกหลานปรุงอาหารเย็นกันอยู่ในเต้นท์ บ้างก็นั่งชมธรรมชาติซึ่งเป็นแก่งน้ำขนาดใหญ่ แต่น้ำจะแห้งไปนิดเมื่อเทียบการการที่เรามาครั้งที่แล้ว
...หลังจากทานอาหารกันเสร็จเราก็นั่งศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน นำโดยอ.พะดา ยามค่ำคืน คืนนี้ดูเหมือนจะท้องฟ้าไม่เปิดเราจึงไม่ได้เห็นดวงดาวกันเลย แถมยังไม่พอ มีฝนปรอย ๆ มาด้วย เราก็นึกอธิษฐานขอให้พระเจ้าได้เลื่อนฝนไปที่อื่น ถ้าเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ และก็ฝนก็ไม่ตกจริง ๆ ด้วย ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะดูมืดไปด้วยเมฆฝนก็ตาม ขอบคุณพระเจ้า หลังจากประชุมกันเสร็จแล้วทุกคนก็เข้านอน คงจะเหนื่อยจากการเดินทางกันมาพอสมควร

--- BMX & BMW ---

...ทุกครั้งที่ส่งลูกไปโรงเรียนก็อดคิดไม่ได้ว่า ลูกจะคิดอะไรหรือเปล่า ก็ภาวนาว่าขออย่าให้ลูกคิดอะไรก็แล้วกัน หลายครั้งที่ลูกถามเหมือนกันว่าทำไมไม่มีรถ เมื่อไหร่จะซื้อรถ เราก็ตอบลูกว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเราตอนนี้ และก็เราก็ไม่ลำบากอะไรถ้าไม่มีรถ และอีกอย่างเราก็ต้องเตรียมเงินไว้ให้ลูก ๆ สำหรับค่าเทอมอีกยาวนานด้วย เห็นเพื่อน ๆ ของลูกพ่อแม่เค้ามีรถขับมาส่งกัน บ้างก็เบ็นซ์ บ้างก็บีเอ็ม...กลัวลูกจะคิดน้อยใจเหมือนกัน แต่อย่างไรก็แล้วแต่ พ่ออยากจะบอกให้ลูก ๆ รู้ว่าพ่อได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกแล้วตามพระทัยพระเจ้าที่ได้ให้เรา ลำพังพ่อแล้วคงไม่สามารถให้อะไรได้มากมาย เพราะพ่อเองก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ต้องสร้างทุกอย่างเอาเองหมด อยากจะบอกลูก ๆ ว่าลูก ๆ โชคดีนะที่ได้เป็นลูก ๆ ของพ่อ ขอให้ลูก ๆ ตั้งใจเรียน และอยู่กับสิ่งที่่เป็นอยู่ให้มาก เราจะต้องติดดิน อย่างนี้ตลอดไป เพื่อเราจะได้ไม่ลืมตัวว่าเรามาจากอะไร ตราบใดที่พระพรพระเจ้ายังเต็มเปี่ยมลูก ๆ ก็จะยังคงได้มีโอกาสเรียนต่อไป แต่บางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ความยากลำบากด้วยเช่นเดียวกันสู้ต่อไป...

2008-03-04

เพื่อนธนภูมิ มาซ่อมแอร์ให้ และเพื่อนปีนัง ก็มากินข้าวด้วย

...เช้าวันใหม่ ตื่นนอนคล้าย ๆ กัน เดินทางอยู่ทุกวัน รุ่งเช้า ตื่นนอน เหมือนกัน ดังวานซืน หวังแค่เพียง ผ่านวันให้พ้นวัน ...เสียงเพลงที่เคยร้อง เมื่อหลายปีก่อน ดังก้องในความคิด ช่างเป็นชีวิตที่สำเร็จรูปตามนั้นจริง ๆ ชีวิตคนเรา ถ้าไม่คิด ไม่ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นบ้าง ไม่ห่วงใย เอื้ออาทร ใส่ใจดูแลคนรอบข้างให้มีความสุข มันก็คงอยู่ไปอย่างนั้นวัน วัน จริง ๆ
...เมื่อวานเพื่อนธนภูมิ มาซ่อมแอร์ให้ และเพื่อนปีนัง ก็มากินข้าวด้วย หลังจากนั้นก็ไป RBAC เพื่อเอาหลักฐานการชำระภาษีไปส่ง แล้วก็กลับมาพบครูประจำชั้นของนิกกี้ เสร็จแล้วก็กลับมาบ้านสอนเปียโนลูกได้นิดหน่อย คงจบภาระกิจละสำหรับวันนี้

2008-02-29

เรื่องดีดี เกี่ยวกับความรัก ที่ได้จากเมล์

ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คน นั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ
เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอพูดกับเขาว่า
' ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ '
' สามีของเธออยู่ในบ้านไหม' เขาถาม
' ไม่' เธอตอบ ' เขาออกไปข้างนอก'
' ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างในไม่ได้ดอก' เขาตอบ
ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกลับมาบ้าน เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
' ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด'
เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน
' เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก' เขาตอบ
' ทำไมล่ะ' เธอถาม
ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า ' เขาชื่อ ความมั่งคั่ง'
เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า
' เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก'
เขากล่าวต่อไปว่า
' บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ'
เธอกลับเขามาข้างในและบอกกับสามีของเธอ สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก
' วิเศษจริงๆ ' เขากล่าว
' เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง เมื่อเขาอยู่กับเรา บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง'
ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย
' ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ'
ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษาจากมุมหนึ่งของบ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า
' จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง'
' เราฟังสิ่งที่ลูกสะใภ้แนะนำเถอะ' สามีกล่าวกับภรรยา
' ออกไปข้างนอกและเชิญความรักเขามาเป็นแขกของเราเถอะ'
ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า
' ใครคือความรัก โปรดเข้ามาและเป็นแขกของเราเถอะ'
ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป ด้วยความประหลาดใจ ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จว่า
' ฉันเชิญเพียงความรัก ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ'
ชายชราตอบพร้อมกันว่า

' ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำเร็จ คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้างนอก
แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่ใดที่เขาไป เราจะไปกับเขา ที่ใดมีความรัก ที่นั่นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จ'

คุณมีตัวเลือก 2 ข้อคือ 1. ปิดมันเสีย 2. เชิญความรัก โดยแบ่งปันเรื่องนี้กับทุกคนที่รัก
( อย่าเอาความมั่งคั่ง , สำเร็จในการงานโดยไม่ คำนึงถึงความรักต่อเพื่อนร่วมงาน , สังคม , และครอบครัว)

2008-02-20

ข้อมูลเกี่ยวกับครูอาสารุ่นที่ 99 ของฉัน...

มีโอกาสได้ไปร่วมงานครูอาสารุ่นที่ 99 ที่มูลนิธิกระจกเงาได้จัดขึ้นอีกครั้งระหว่างวันที่ 14-17 ก.พ. 51 ณ. หมู่บ้าน อาจ่า เชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านของเผ่า อาข่า ดูข้อมูลได้ที่นี่จ้ะ ภาพส่วนหนึ่งของกิจกรรม

2008-02-08

"พี่หร่อง" นักเลง 2499 ที่ไม่มีใครรู้จัก...

...วันนี้ได้นั่งแท๊กซี่จาก รพ.มิชชั่น กลับบ้านหลังจากได้พูดคุยกับลุงคนขับได้สักพักจึงได้ข้อมูลว่าลุงคนขับไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึง...(เดาสิ) ลุงแกบอกว่า แดง ใบเล่ย์ ยังยกมือไหว้เรียกแกว่าพี่เลย พูดแล้วก็แกก็ยกมือไหว้พงก ๆ สบถสาบานอะไรไม่รู้ของแก ราวกับว่ากลวพวกเราจะไม่เชื่อ แกยังบอกอีกว่าแกเป็นเด็กแถวนี้ เกิดที่โคลีเซี่ยม รู้จักหมด เด็กสามเหลี่ยมสมัยนั้น...อยู่ในบ้านพักรถไฟ รวมถึง สมบัติ ม. ที่เป็นนักแสดงก็เป็นเพื่อนแก ฟังแกพูดแล้วก็น่ามันส์ กับอดีตของแกเหมือนกัน เกชา ป. ที่เป็นนักแสดงแกก็รู้จักสมัยนั้น คนสมัยก่อนนักเลงจริง ไม่รุมกัน ยิงกัน เหมือนสมัยนี้ แก บอก... ท้ายที่สุดแกสรุปว่า แต่เดี๋ยวนี้เลิกหมดแล้วเพราะอายุปัจจุบันก็ 71 ปี แล้วแกบอกว่า เลี้ยบนะยังมีอยู่ แต่เขี้ยวไม่มีแล้ว ถึงซ่าส์ไปก็ไม่มีใครรู้จักแล้ว เราถึงได้ข้อคิดว่าไม่มีอะไรใต้ฟ้านี้ที่จะยั่งยื่น นอกจากพระเจ้าเท่านั้น...ขอบคุณลุง สนั่น หอมหวล ที่เล่าเรื่องดีดีให้พวกเราได้ฟัง...

2008-02-07

คิดว่าจะบันทึกประวัติของตัวเองไม่มีโอกาสสักที...

แวบเข้ามาในความคิดหลายก็หลายครั้ง ว่าอยากจะบันทึกประวัติของตัวเองไว้เพื่อวันข้างหน้าจะเป็นประโยชน์สำหรับลูกหลานว่าไปโน่นเลย แต่ก็ดีนะ ทะยอยบันทึกไว้เพราะกว่าหนังสือเล่มนี้จะจบก็อีกตั้งหลายปี กลัวประสบการณ์ต่าง ๆ จะถูกลบเลือนด้วยเวลาที่ผ่านไปและก็สังขารที่ร่วงโรยแบบไม่ไว้หน้าใคร... จะพยายามนะ แต่คงไม่ใช่วันนี้ อีกตามเคยเลื่อนไปอีกล่ะ

2008-02-04

"พระเจ้าทรงดูแล" ...ตามคำขอ

"พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" สดุดี 23:1 ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการเป็นคริสเตียนของฉัน ฉันจำได้ว่าได้ยินข้อพระคัมภีร์นี้บ่อย ๆ และยังเคยใช้เป็นบทท่องจำสำหรับการเรียนพาธไฟน์เดอร์ด้วยสมัยตอนเรียนมัธยม มันจะไม่มีความหมายอะไรเพิ่มขึ้นเลย ถ้าฉันไม่ได้มีประสบการณ์จริงกับข้อความดังกล่าว
...ปลายปี 2549 บรรยากาศที่ทำงานของฉันเริ่มตรึงเครียด ฉันก็ไม่ทราบด้วยสาเหตุมาจากอะไร อาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของสังคมปัจจุบันที่ทำให้เป็นไป จนในที่สุดฉันก็ได้เห็นเพื่อนร่วมงานถูกจ้างให้ออกจากงาน มันไม่ใช่คนเดียว ไม่นานนักก็มีอีกคนที่ต้องถูกจ้างให้ออกจากงาน ฉันรู้สึกสะเทือนใจจริง ๆ กับสภาพที่เห็นดังกล่าว เพื่อนได้มาปรับทุกข์และร้องไห้ร่วมกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ฉันได้แต่คิดในใจว่าถ้ามันเกิดขึ้นกับฉันบ้างฉันจะทำอย่างไร แต่ก็อดที่จะสงสารเพื่อนไม่ได้ขณะนั้น
...และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับฉันจริง ๆ เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2550 ฉันถูกเรียกให้เข้าพบกับหัวหน้าองค์กรนั้นและได้รับจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ ให้ฉันอ่าน หลังจากที่ฉันอ่านแล้วก็เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วกับฉัน ฉันทบทวนสิ่งที่ตัวเองเข้าใจโดยการส่งจดหมายดังกล่าวให้กับหัวหน้าฝ่าย ท่านหนึ่งที่ได้เข้าเป็นพยานด้วย ให้ช่วยแปลให้หน่อย เขาก็แปลให้แบบอึดอัด แบบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน สรุปก็คือในจดหมายนั้นบอกว่า ฉันทำผิดร้ายแรง และจำเป็นต้องให้ออกจากงานทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 10 เดือน ในใจฉันสะอื้นลึก ๆ แต่ไม่มีใครเห็นความรู้สึกนั้นของฉัน เพราะฉันซ่อนมันไว้อย่างดี คำถามเกิดขึ้นในใจฉันทันที สิ่งที่ฉันหวังดี ความจงรักภักดีของฉันที่มีต่อองค์กรตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปี ที่ผ่านมามันลงเลยด้วยแบบนี้กับความรู้สึกของผู้นำองค์กรคนเดียวหรือ
...ลูกฉัน 3 คนกำลังเรียนหนังสืออยู่ ต้องใช้เงินจำนวนมากแต่ละเดือน แม่ที่พิการขาหัก 2 ข้างไม่สามารถเดินได้ ต้องนั่งอยู่ในรถเข็นตลอดเวลาถ้าไม่ได้อยู่บนเตียงนอน ค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายาก็ไม่น้อยต่อเดือน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในบ้านอีก หนี้สินที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือนอีกล่ะ ฉันยอมรับว่าความจงรักภักดีต่อองค์กรเพื่อที่จะทำงานรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามันทำให้ฉันลืมวางแผนเรื่องสิ่งเหล่านี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉันทำงานโดยได้รับค่าตอบแทนเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่จบมาพร้อมกัน ฉันได้น้อยกว่า 2-3 เท่า แม้ว่าฉันจะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนติดลบเดือนละไม่น้อย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันกระวนกระวายแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู
...ฉันต้องถูกให้ออกจากงานทันที คำถามมากมายเกิดขึ้นในความคิดของฉัน มันยังคงเวียนวนอยู่เพื่อหาคำตอบ ในช่วงเวลาที่สับสนนั้น ฉันจะไปอยู่ที่ไหน เพราะปกติอยู่บ้านพักสวัสดิการ เมื่อถูกให้ออกจากงานฉันก็ต้องย้ายออกจากบ้านพักสวัสดิการ แล้วจะไปอยู่ไหน? ลูกจะมาเรียนได้อย่างไร? ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะหาได้จากไหน หนี้สินที่ต้องจ่ายจะเอาจากไหน แม่ที่ไม่สบายล่ะที่ต้องอยู่กับเรา จะไปอยู่ไหน ท่านก็สุขภาพไม่ค่อยดี ฉันยอมรับว่า ณ.ขณะนั้นฉันสับสน และตั้งคำถามกับพระเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันแค่คิดในใจว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะต้องเกิดขึ้นกับฉัน และแล้ววันนั้นก็มาถึงจริง ๆ
...ห้วหน้างานฉันพยายามแนะนำให้ผู้นำองค์กรให้โอกาสฉันเขียนจดหมายลาออกเพื่อจะได้มีโอกาสรับผลประโยชน์บางอย่างที่จะเป็นค่าใช้จ่ายได้ในช่วงเวลาที่ลาออก ดีที่ฉันมีโอกาสได้อยู่บ้านพักสวัสดิการได้อีก 1 เดือน จนถึงปลายเดือนเมษายน 2550 ตอนแรกฉันไม่สนใจที่จะทำตาม เพราะฉันคิดว่าฉันไม่ได้ผิดตามคำกล่าวหาและร้ายแรงจนถึงขั้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ท้ายที่สุดฉันได้อธิษฐานถามพระเจ้าด้วยน้ำตา คนเดียว 2-3 วัน ฉันไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะฉันคือคนเดียวในครอบครัวที่หารายได้ ถ้าใครเห็นความอ่อนแอของฉันตอนนี้ เขาคงจะหวั่นไหวเหมือนกัน ในสังคมฉันยังคงยิ้มได้ แต่ส่วนลึกในใจใครจะรู้ ฉันยอมเขียนจดหมายลาออกตามคำแนะนำ
...ฉันต้องออกจากสถานที่ที่เป็นเหมือนบ้านและที่ทำงานของฉันตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปีที่ผ่านมา มันไม่เจ็บปวดอะไรมากมายสำหรับฉันหรอก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดและถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ก็คือฉันไม่สามารถตอบคำถามของลูก ๆ ได้ว่า "ทำไมเราต้องย้ายล่ะ?" อธิบายไปลูก ๆ ก็คงไม่เข้าใจหรอก ฉันได้แต่เพียงว่าสักวันหนึ่งลูก ๆ คงจะเข้าใจ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ดีที่ช่วยให้กำลังใจฉันยามที่ฉันสับสน และแล้วฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้ามีแผนการสำหรับลูกของพระองค์เสมอ ฉันพยายามหาบ้านพักใหม่จนฉันได้บ้านพัก เป็นบ้านเช่า ใกล้กับโรงเรียนของลูก และได้งานทำอีก 1 เดือนทันที แม้ว่าฉันจะไม่สบายใจกับที่ทำงานที่ได้ฉันทำอยู่แค่ 3 เดือนแล้วลาออกอีก ไม่ใช่เพราะว่าค่าตอบแทนน้อยหรืออย่างไร แต่มันคือความสุขทางใจฉันหาไม่เจอต่างหากล่ะ ฉันตัดสินใจลาออกจากงานหลังจากทำที่นั่นได้ 3 เดือน และฉันก็ได้งานทำงานที่ใหม่ซึ่งได้ค่าตอบแทนหลายเท่ากว่าที่เคยได้มันเพียงพอสำหรับทุกสิ่ง และตอบทุกคำถามที่มีในใจฉัน ใครจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ฉันคงปฏิเสธความรักของพระเจ้าไม่ได้แน่ "แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" ม้ทธิว 6:33 ฉันเข้าใจแล้วว่าพระองค์หมายถึงอะไรนับแต่นี้ต่อไปฉันไม่กระวนกระวายเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว ฉันบอกกับตัวเองว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะรับใช้ภารกิจของพระองค์มอบทุกอย่างให้พระองค์ทรงนำ ขอพระองค์ได้ทรงใช้ฉันให้กิดประโยชน์ในภารกิจของพระองค์เถิด
...วันนี้อยากจะเป็นพยานให้กับทุกคน ถ้าพระเจ้าทรงดูแลฉันขนาดนี้ พระเจ้าองค์เดียวกันนี้แหละ จะทรงดูแลท่านด้วยเช่นกันเดียวกัน...คุณพร้อมที่จะให้พระองค์เป็นผู้ดูแลคุณหรือไม่...อาเมน

ในห้วงแห่งความวังเวง...

"ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด" มธ.26:38 ใครล่ะจะเข้าใจความอ้างว้างของเราเท่ากับตัวเราเอง ยามเมื่อเราต้องการเพื่อน ต้องการคนเข้าใจ เพื่อนสนิทข้างกายก็ไม่เข้าใจ คนที่เราคิดเชื่อถือก็ไม่ใช่ที่เราจะปรึกษาได้ เราเข้าใจแล้วว่าในสภาพของการเป็นมนุษย์นั้นไม่มีที่ความช่วยเหลือที่สมบูรณ์ทุกอย่างมีแอบแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่างซึ่งมันก็คือความบาปนั่นเองที่ทำให้เป็นอย่างนั้น ...ขณะที่พระเยซูต้องการเพื่อนยามที่อ้างว้างที่สุด สาวกที่คนสนิทของพระองค์ เปโตร, โยฮัน, ยาโกโบ ก็ยังไม่เข้าใจพระองค์ไม่ได้เห็นถึงความอ้างว้างของพระองค์ พวกเขาก็ยังง่วงเหงาและหลับไหลในยามที่พระองค์ต้องการที่ปลอบใจ มันทำให้สัมผัสถึงเราความรู้สึกช่วงขณะนั้นของพระองค์ ในสภาพของความบาปนี้ไม่มีใครหลุดพ้น ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด
...มนุษย์พยายามแสวงหาที่พึ่งเมื่อยามเรามีความทุกข์จากเพื่อนรอบ ๆ ข้างเรา จากคนที่เรารัก จากคนที่เราไว้ใจ แต่ก็ใช่ว่าเราจะได้ความสงบใจทุกครั้งไป แต่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยที่จะผิดหวังในที่เราต้องการเลย ขออย่าให้เราละเลยที่จะแสวงหาพระองค์ ให้พระองค์เป็นที่พึ่งของเราตลอดไป