2008-02-04

"พระเจ้าทรงดูแล" ...ตามคำขอ

"พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" สดุดี 23:1 ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการเป็นคริสเตียนของฉัน ฉันจำได้ว่าได้ยินข้อพระคัมภีร์นี้บ่อย ๆ และยังเคยใช้เป็นบทท่องจำสำหรับการเรียนพาธไฟน์เดอร์ด้วยสมัยตอนเรียนมัธยม มันจะไม่มีความหมายอะไรเพิ่มขึ้นเลย ถ้าฉันไม่ได้มีประสบการณ์จริงกับข้อความดังกล่าว
...ปลายปี 2549 บรรยากาศที่ทำงานของฉันเริ่มตรึงเครียด ฉันก็ไม่ทราบด้วยสาเหตุมาจากอะไร อาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของสังคมปัจจุบันที่ทำให้เป็นไป จนในที่สุดฉันก็ได้เห็นเพื่อนร่วมงานถูกจ้างให้ออกจากงาน มันไม่ใช่คนเดียว ไม่นานนักก็มีอีกคนที่ต้องถูกจ้างให้ออกจากงาน ฉันรู้สึกสะเทือนใจจริง ๆ กับสภาพที่เห็นดังกล่าว เพื่อนได้มาปรับทุกข์และร้องไห้ร่วมกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ฉันได้แต่คิดในใจว่าถ้ามันเกิดขึ้นกับฉันบ้างฉันจะทำอย่างไร แต่ก็อดที่จะสงสารเพื่อนไม่ได้ขณะนั้น
...และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับฉันจริง ๆ เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2550 ฉันถูกเรียกให้เข้าพบกับหัวหน้าองค์กรนั้นและได้รับจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ ให้ฉันอ่าน หลังจากที่ฉันอ่านแล้วก็เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วกับฉัน ฉันทบทวนสิ่งที่ตัวเองเข้าใจโดยการส่งจดหมายดังกล่าวให้กับหัวหน้าฝ่าย ท่านหนึ่งที่ได้เข้าเป็นพยานด้วย ให้ช่วยแปลให้หน่อย เขาก็แปลให้แบบอึดอัด แบบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน สรุปก็คือในจดหมายนั้นบอกว่า ฉันทำผิดร้ายแรง และจำเป็นต้องให้ออกจากงานทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 10 เดือน ในใจฉันสะอื้นลึก ๆ แต่ไม่มีใครเห็นความรู้สึกนั้นของฉัน เพราะฉันซ่อนมันไว้อย่างดี คำถามเกิดขึ้นในใจฉันทันที สิ่งที่ฉันหวังดี ความจงรักภักดีของฉันที่มีต่อองค์กรตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปี ที่ผ่านมามันลงเลยด้วยแบบนี้กับความรู้สึกของผู้นำองค์กรคนเดียวหรือ
...ลูกฉัน 3 คนกำลังเรียนหนังสืออยู่ ต้องใช้เงินจำนวนมากแต่ละเดือน แม่ที่พิการขาหัก 2 ข้างไม่สามารถเดินได้ ต้องนั่งอยู่ในรถเข็นตลอดเวลาถ้าไม่ได้อยู่บนเตียงนอน ค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายาก็ไม่น้อยต่อเดือน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในบ้านอีก หนี้สินที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือนอีกล่ะ ฉันยอมรับว่าความจงรักภักดีต่อองค์กรเพื่อที่จะทำงานรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามันทำให้ฉันลืมวางแผนเรื่องสิ่งเหล่านี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉันทำงานโดยได้รับค่าตอบแทนเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่จบมาพร้อมกัน ฉันได้น้อยกว่า 2-3 เท่า แม้ว่าฉันจะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนติดลบเดือนละไม่น้อย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันกระวนกระวายแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู
...ฉันต้องถูกให้ออกจากงานทันที คำถามมากมายเกิดขึ้นในความคิดของฉัน มันยังคงเวียนวนอยู่เพื่อหาคำตอบ ในช่วงเวลาที่สับสนนั้น ฉันจะไปอยู่ที่ไหน เพราะปกติอยู่บ้านพักสวัสดิการ เมื่อถูกให้ออกจากงานฉันก็ต้องย้ายออกจากบ้านพักสวัสดิการ แล้วจะไปอยู่ไหน? ลูกจะมาเรียนได้อย่างไร? ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะหาได้จากไหน หนี้สินที่ต้องจ่ายจะเอาจากไหน แม่ที่ไม่สบายล่ะที่ต้องอยู่กับเรา จะไปอยู่ไหน ท่านก็สุขภาพไม่ค่อยดี ฉันยอมรับว่า ณ.ขณะนั้นฉันสับสน และตั้งคำถามกับพระเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันแค่คิดในใจว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะต้องเกิดขึ้นกับฉัน และแล้ววันนั้นก็มาถึงจริง ๆ
...ห้วหน้างานฉันพยายามแนะนำให้ผู้นำองค์กรให้โอกาสฉันเขียนจดหมายลาออกเพื่อจะได้มีโอกาสรับผลประโยชน์บางอย่างที่จะเป็นค่าใช้จ่ายได้ในช่วงเวลาที่ลาออก ดีที่ฉันมีโอกาสได้อยู่บ้านพักสวัสดิการได้อีก 1 เดือน จนถึงปลายเดือนเมษายน 2550 ตอนแรกฉันไม่สนใจที่จะทำตาม เพราะฉันคิดว่าฉันไม่ได้ผิดตามคำกล่าวหาและร้ายแรงจนถึงขั้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ท้ายที่สุดฉันได้อธิษฐานถามพระเจ้าด้วยน้ำตา คนเดียว 2-3 วัน ฉันไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะฉันคือคนเดียวในครอบครัวที่หารายได้ ถ้าใครเห็นความอ่อนแอของฉันตอนนี้ เขาคงจะหวั่นไหวเหมือนกัน ในสังคมฉันยังคงยิ้มได้ แต่ส่วนลึกในใจใครจะรู้ ฉันยอมเขียนจดหมายลาออกตามคำแนะนำ
...ฉันต้องออกจากสถานที่ที่เป็นเหมือนบ้านและที่ทำงานของฉันตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปีที่ผ่านมา มันไม่เจ็บปวดอะไรมากมายสำหรับฉันหรอก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดและถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ก็คือฉันไม่สามารถตอบคำถามของลูก ๆ ได้ว่า "ทำไมเราต้องย้ายล่ะ?" อธิบายไปลูก ๆ ก็คงไม่เข้าใจหรอก ฉันได้แต่เพียงว่าสักวันหนึ่งลูก ๆ คงจะเข้าใจ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ดีที่ช่วยให้กำลังใจฉันยามที่ฉันสับสน และแล้วฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้ามีแผนการสำหรับลูกของพระองค์เสมอ ฉันพยายามหาบ้านพักใหม่จนฉันได้บ้านพัก เป็นบ้านเช่า ใกล้กับโรงเรียนของลูก และได้งานทำอีก 1 เดือนทันที แม้ว่าฉันจะไม่สบายใจกับที่ทำงานที่ได้ฉันทำอยู่แค่ 3 เดือนแล้วลาออกอีก ไม่ใช่เพราะว่าค่าตอบแทนน้อยหรืออย่างไร แต่มันคือความสุขทางใจฉันหาไม่เจอต่างหากล่ะ ฉันตัดสินใจลาออกจากงานหลังจากทำที่นั่นได้ 3 เดือน และฉันก็ได้งานทำงานที่ใหม่ซึ่งได้ค่าตอบแทนหลายเท่ากว่าที่เคยได้มันเพียงพอสำหรับทุกสิ่ง และตอบทุกคำถามที่มีในใจฉัน ใครจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ฉันคงปฏิเสธความรักของพระเจ้าไม่ได้แน่ "แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" ม้ทธิว 6:33 ฉันเข้าใจแล้วว่าพระองค์หมายถึงอะไรนับแต่นี้ต่อไปฉันไม่กระวนกระวายเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว ฉันบอกกับตัวเองว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะรับใช้ภารกิจของพระองค์มอบทุกอย่างให้พระองค์ทรงนำ ขอพระองค์ได้ทรงใช้ฉันให้กิดประโยชน์ในภารกิจของพระองค์เถิด
...วันนี้อยากจะเป็นพยานให้กับทุกคน ถ้าพระเจ้าทรงดูแลฉันขนาดนี้ พระเจ้าองค์เดียวกันนี้แหละ จะทรงดูแลท่านด้วยเช่นกันเดียวกัน...คุณพร้อมที่จะให้พระองค์เป็นผู้ดูแลคุณหรือไม่...อาเมน

1 comment:

Rassamee said...

บางครั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา..ไม่เพียงแต่จะทำให้เราเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ..แต่จะเป็นบทเรียนและประสบการณ์สำหรับคนอื่น ๆ อีกด้วยที่จะได้เรียนรู้จากพระเจ้า..และเข้าใจในน้ำพระทัยพระเจ้ามากขึ้น..การที่เราทำให้คนอื่น..ได้เห็นพระเจ้า..รักพระเจ้าและเชื่อพระเจ้า..นี่ซิถึงได้ชื่อว่า..เป็นสาวกที่แท้จริง