2008-02-29

เรื่องดีดี เกี่ยวกับความรัก ที่ได้จากเมล์

ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คน นั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ
เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอพูดกับเขาว่า
' ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ '
' สามีของเธออยู่ในบ้านไหม' เขาถาม
' ไม่' เธอตอบ ' เขาออกไปข้างนอก'
' ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างในไม่ได้ดอก' เขาตอบ
ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกลับมาบ้าน เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
' ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด'
เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน
' เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก' เขาตอบ
' ทำไมล่ะ' เธอถาม
ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า ' เขาชื่อ ความมั่งคั่ง'
เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า
' เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก'
เขากล่าวต่อไปว่า
' บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ'
เธอกลับเขามาข้างในและบอกกับสามีของเธอ สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก
' วิเศษจริงๆ ' เขากล่าว
' เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง เมื่อเขาอยู่กับเรา บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง'
ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย
' ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ'
ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษาจากมุมหนึ่งของบ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า
' จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง'
' เราฟังสิ่งที่ลูกสะใภ้แนะนำเถอะ' สามีกล่าวกับภรรยา
' ออกไปข้างนอกและเชิญความรักเขามาเป็นแขกของเราเถอะ'
ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า
' ใครคือความรัก โปรดเข้ามาและเป็นแขกของเราเถอะ'
ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป ด้วยความประหลาดใจ ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จว่า
' ฉันเชิญเพียงความรัก ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ'
ชายชราตอบพร้อมกันว่า

' ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำเร็จ คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้างนอก
แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่ใดที่เขาไป เราจะไปกับเขา ที่ใดมีความรัก ที่นั่นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จ'

คุณมีตัวเลือก 2 ข้อคือ 1. ปิดมันเสีย 2. เชิญความรัก โดยแบ่งปันเรื่องนี้กับทุกคนที่รัก
( อย่าเอาความมั่งคั่ง , สำเร็จในการงานโดยไม่ คำนึงถึงความรักต่อเพื่อนร่วมงาน , สังคม , และครอบครัว)

2008-02-20

ข้อมูลเกี่ยวกับครูอาสารุ่นที่ 99 ของฉัน...

มีโอกาสได้ไปร่วมงานครูอาสารุ่นที่ 99 ที่มูลนิธิกระจกเงาได้จัดขึ้นอีกครั้งระหว่างวันที่ 14-17 ก.พ. 51 ณ. หมู่บ้าน อาจ่า เชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านของเผ่า อาข่า ดูข้อมูลได้ที่นี่จ้ะ ภาพส่วนหนึ่งของกิจกรรม

2008-02-08

"พี่หร่อง" นักเลง 2499 ที่ไม่มีใครรู้จัก...

...วันนี้ได้นั่งแท๊กซี่จาก รพ.มิชชั่น กลับบ้านหลังจากได้พูดคุยกับลุงคนขับได้สักพักจึงได้ข้อมูลว่าลุงคนขับไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึง...(เดาสิ) ลุงแกบอกว่า แดง ใบเล่ย์ ยังยกมือไหว้เรียกแกว่าพี่เลย พูดแล้วก็แกก็ยกมือไหว้พงก ๆ สบถสาบานอะไรไม่รู้ของแก ราวกับว่ากลวพวกเราจะไม่เชื่อ แกยังบอกอีกว่าแกเป็นเด็กแถวนี้ เกิดที่โคลีเซี่ยม รู้จักหมด เด็กสามเหลี่ยมสมัยนั้น...อยู่ในบ้านพักรถไฟ รวมถึง สมบัติ ม. ที่เป็นนักแสดงก็เป็นเพื่อนแก ฟังแกพูดแล้วก็น่ามันส์ กับอดีตของแกเหมือนกัน เกชา ป. ที่เป็นนักแสดงแกก็รู้จักสมัยนั้น คนสมัยก่อนนักเลงจริง ไม่รุมกัน ยิงกัน เหมือนสมัยนี้ แก บอก... ท้ายที่สุดแกสรุปว่า แต่เดี๋ยวนี้เลิกหมดแล้วเพราะอายุปัจจุบันก็ 71 ปี แล้วแกบอกว่า เลี้ยบนะยังมีอยู่ แต่เขี้ยวไม่มีแล้ว ถึงซ่าส์ไปก็ไม่มีใครรู้จักแล้ว เราถึงได้ข้อคิดว่าไม่มีอะไรใต้ฟ้านี้ที่จะยั่งยื่น นอกจากพระเจ้าเท่านั้น...ขอบคุณลุง สนั่น หอมหวล ที่เล่าเรื่องดีดีให้พวกเราได้ฟัง...

2008-02-07

คิดว่าจะบันทึกประวัติของตัวเองไม่มีโอกาสสักที...

แวบเข้ามาในความคิดหลายก็หลายครั้ง ว่าอยากจะบันทึกประวัติของตัวเองไว้เพื่อวันข้างหน้าจะเป็นประโยชน์สำหรับลูกหลานว่าไปโน่นเลย แต่ก็ดีนะ ทะยอยบันทึกไว้เพราะกว่าหนังสือเล่มนี้จะจบก็อีกตั้งหลายปี กลัวประสบการณ์ต่าง ๆ จะถูกลบเลือนด้วยเวลาที่ผ่านไปและก็สังขารที่ร่วงโรยแบบไม่ไว้หน้าใคร... จะพยายามนะ แต่คงไม่ใช่วันนี้ อีกตามเคยเลื่อนไปอีกล่ะ

2008-02-04

"พระเจ้าทรงดูแล" ...ตามคำขอ

"พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน" สดุดี 23:1 ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการเป็นคริสเตียนของฉัน ฉันจำได้ว่าได้ยินข้อพระคัมภีร์นี้บ่อย ๆ และยังเคยใช้เป็นบทท่องจำสำหรับการเรียนพาธไฟน์เดอร์ด้วยสมัยตอนเรียนมัธยม มันจะไม่มีความหมายอะไรเพิ่มขึ้นเลย ถ้าฉันไม่ได้มีประสบการณ์จริงกับข้อความดังกล่าว
...ปลายปี 2549 บรรยากาศที่ทำงานของฉันเริ่มตรึงเครียด ฉันก็ไม่ทราบด้วยสาเหตุมาจากอะไร อาจจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจของสังคมปัจจุบันที่ทำให้เป็นไป จนในที่สุดฉันก็ได้เห็นเพื่อนร่วมงานถูกจ้างให้ออกจากงาน มันไม่ใช่คนเดียว ไม่นานนักก็มีอีกคนที่ต้องถูกจ้างให้ออกจากงาน ฉันรู้สึกสะเทือนใจจริง ๆ กับสภาพที่เห็นดังกล่าว เพื่อนได้มาปรับทุกข์และร้องไห้ร่วมกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ฉันได้แต่คิดในใจว่าถ้ามันเกิดขึ้นกับฉันบ้างฉันจะทำอย่างไร แต่ก็อดที่จะสงสารเพื่อนไม่ได้ขณะนั้น
...และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับฉันจริง ๆ เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2550 ฉันถูกเรียกให้เข้าพบกับหัวหน้าองค์กรนั้นและได้รับจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ ให้ฉันอ่าน หลังจากที่ฉันอ่านแล้วก็เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วกับฉัน ฉันทบทวนสิ่งที่ตัวเองเข้าใจโดยการส่งจดหมายดังกล่าวให้กับหัวหน้าฝ่าย ท่านหนึ่งที่ได้เข้าเป็นพยานด้วย ให้ช่วยแปลให้หน่อย เขาก็แปลให้แบบอึดอัด แบบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน สรุปก็คือในจดหมายนั้นบอกว่า ฉันทำผิดร้ายแรง และจำเป็นต้องให้ออกจากงานทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 10 เดือน ในใจฉันสะอื้นลึก ๆ แต่ไม่มีใครเห็นความรู้สึกนั้นของฉัน เพราะฉันซ่อนมันไว้อย่างดี คำถามเกิดขึ้นในใจฉันทันที สิ่งที่ฉันหวังดี ความจงรักภักดีของฉันที่มีต่อองค์กรตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปี ที่ผ่านมามันลงเลยด้วยแบบนี้กับความรู้สึกของผู้นำองค์กรคนเดียวหรือ
...ลูกฉัน 3 คนกำลังเรียนหนังสืออยู่ ต้องใช้เงินจำนวนมากแต่ละเดือน แม่ที่พิการขาหัก 2 ข้างไม่สามารถเดินได้ ต้องนั่งอยู่ในรถเข็นตลอดเวลาถ้าไม่ได้อยู่บนเตียงนอน ค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายาก็ไม่น้อยต่อเดือน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในบ้านอีก หนี้สินที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือนอีกล่ะ ฉันยอมรับว่าความจงรักภักดีต่อองค์กรเพื่อที่จะทำงานรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามันทำให้ฉันลืมวางแผนเรื่องสิ่งเหล่านี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉันทำงานโดยได้รับค่าตอบแทนเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่จบมาพร้อมกัน ฉันได้น้อยกว่า 2-3 เท่า แม้ว่าฉันจะมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนติดลบเดือนละไม่น้อย แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันกระวนกระวายแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู
...ฉันต้องถูกให้ออกจากงานทันที คำถามมากมายเกิดขึ้นในความคิดของฉัน มันยังคงเวียนวนอยู่เพื่อหาคำตอบ ในช่วงเวลาที่สับสนนั้น ฉันจะไปอยู่ที่ไหน เพราะปกติอยู่บ้านพักสวัสดิการ เมื่อถูกให้ออกจากงานฉันก็ต้องย้ายออกจากบ้านพักสวัสดิการ แล้วจะไปอยู่ไหน? ลูกจะมาเรียนได้อย่างไร? ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะหาได้จากไหน หนี้สินที่ต้องจ่ายจะเอาจากไหน แม่ที่ไม่สบายล่ะที่ต้องอยู่กับเรา จะไปอยู่ไหน ท่านก็สุขภาพไม่ค่อยดี ฉันยอมรับว่า ณ.ขณะนั้นฉันสับสน และตั้งคำถามกับพระเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันแค่คิดในใจว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะต้องเกิดขึ้นกับฉัน และแล้ววันนั้นก็มาถึงจริง ๆ
...ห้วหน้างานฉันพยายามแนะนำให้ผู้นำองค์กรให้โอกาสฉันเขียนจดหมายลาออกเพื่อจะได้มีโอกาสรับผลประโยชน์บางอย่างที่จะเป็นค่าใช้จ่ายได้ในช่วงเวลาที่ลาออก ดีที่ฉันมีโอกาสได้อยู่บ้านพักสวัสดิการได้อีก 1 เดือน จนถึงปลายเดือนเมษายน 2550 ตอนแรกฉันไม่สนใจที่จะทำตาม เพราะฉันคิดว่าฉันไม่ได้ผิดตามคำกล่าวหาและร้ายแรงจนถึงขั้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ท้ายที่สุดฉันได้อธิษฐานถามพระเจ้าด้วยน้ำตา คนเดียว 2-3 วัน ฉันไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เพราะฉันคือคนเดียวในครอบครัวที่หารายได้ ถ้าใครเห็นความอ่อนแอของฉันตอนนี้ เขาคงจะหวั่นไหวเหมือนกัน ในสังคมฉันยังคงยิ้มได้ แต่ส่วนลึกในใจใครจะรู้ ฉันยอมเขียนจดหมายลาออกตามคำแนะนำ
...ฉันต้องออกจากสถานที่ที่เป็นเหมือนบ้านและที่ทำงานของฉันตลอดระยะเวลาเกือบ 14 ปีที่ผ่านมา มันไม่เจ็บปวดอะไรมากมายสำหรับฉันหรอก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดและถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ก็คือฉันไม่สามารถตอบคำถามของลูก ๆ ได้ว่า "ทำไมเราต้องย้ายล่ะ?" อธิบายไปลูก ๆ ก็คงไม่เข้าใจหรอก ฉันได้แต่เพียงว่าสักวันหนึ่งลูก ๆ คงจะเข้าใจ ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ดีที่ช่วยให้กำลังใจฉันยามที่ฉันสับสน และแล้วฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้ามีแผนการสำหรับลูกของพระองค์เสมอ ฉันพยายามหาบ้านพักใหม่จนฉันได้บ้านพัก เป็นบ้านเช่า ใกล้กับโรงเรียนของลูก และได้งานทำอีก 1 เดือนทันที แม้ว่าฉันจะไม่สบายใจกับที่ทำงานที่ได้ฉันทำอยู่แค่ 3 เดือนแล้วลาออกอีก ไม่ใช่เพราะว่าค่าตอบแทนน้อยหรืออย่างไร แต่มันคือความสุขทางใจฉันหาไม่เจอต่างหากล่ะ ฉันตัดสินใจลาออกจากงานหลังจากทำที่นั่นได้ 3 เดือน และฉันก็ได้งานทำงานที่ใหม่ซึ่งได้ค่าตอบแทนหลายเท่ากว่าที่เคยได้มันเพียงพอสำหรับทุกสิ่ง และตอบทุกคำถามที่มีในใจฉัน ใครจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ฉันคงปฏิเสธความรักของพระเจ้าไม่ได้แน่ "แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้" ม้ทธิว 6:33 ฉันเข้าใจแล้วว่าพระองค์หมายถึงอะไรนับแต่นี้ต่อไปฉันไม่กระวนกระวายเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว ฉันบอกกับตัวเองว่าจะต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะรับใช้ภารกิจของพระองค์มอบทุกอย่างให้พระองค์ทรงนำ ขอพระองค์ได้ทรงใช้ฉันให้กิดประโยชน์ในภารกิจของพระองค์เถิด
...วันนี้อยากจะเป็นพยานให้กับทุกคน ถ้าพระเจ้าทรงดูแลฉันขนาดนี้ พระเจ้าองค์เดียวกันนี้แหละ จะทรงดูแลท่านด้วยเช่นกันเดียวกัน...คุณพร้อมที่จะให้พระองค์เป็นผู้ดูแลคุณหรือไม่...อาเมน

ในห้วงแห่งความวังเวง...

"ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด" มธ.26:38 ใครล่ะจะเข้าใจความอ้างว้างของเราเท่ากับตัวเราเอง ยามเมื่อเราต้องการเพื่อน ต้องการคนเข้าใจ เพื่อนสนิทข้างกายก็ไม่เข้าใจ คนที่เราคิดเชื่อถือก็ไม่ใช่ที่เราจะปรึกษาได้ เราเข้าใจแล้วว่าในสภาพของการเป็นมนุษย์นั้นไม่มีที่ความช่วยเหลือที่สมบูรณ์ทุกอย่างมีแอบแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่างซึ่งมันก็คือความบาปนั่นเองที่ทำให้เป็นอย่างนั้น ...ขณะที่พระเยซูต้องการเพื่อนยามที่อ้างว้างที่สุด สาวกที่คนสนิทของพระองค์ เปโตร, โยฮัน, ยาโกโบ ก็ยังไม่เข้าใจพระองค์ไม่ได้เห็นถึงความอ้างว้างของพระองค์ พวกเขาก็ยังง่วงเหงาและหลับไหลในยามที่พระองค์ต้องการที่ปลอบใจ มันทำให้สัมผัสถึงเราความรู้สึกช่วงขณะนั้นของพระองค์ ในสภาพของความบาปนี้ไม่มีใครหลุดพ้น ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด
...มนุษย์พยายามแสวงหาที่พึ่งเมื่อยามเรามีความทุกข์จากเพื่อนรอบ ๆ ข้างเรา จากคนที่เรารัก จากคนที่เราไว้ใจ แต่ก็ใช่ว่าเราจะได้ความสงบใจทุกครั้งไป แต่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยที่จะผิดหวังในที่เราต้องการเลย ขออย่าให้เราละเลยที่จะแสวงหาพระองค์ ให้พระองค์เป็นที่พึ่งของเราตลอดไป

2008-02-03

สิ่งร้าย ๆ มักจะมาพร้อมกับสิ่งดี ๆ เสมอแต่อะไรจะมาก่อนล่ะ...

...วันอังคารที่ 29 มกราคม 2551 เราได้ไปเป็นพยานในการแจ้งความของโรงพยาบาลมิชชั่นที่กับสถานีตำรวจนางเลิ้ง ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเราก็ได้รับนัดให้มาให้ปากคำตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็คิวทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ว่างสักทีก็เลยต้องเลื่อนไปทุกครั้ง วันนี้ก็ได้โอกาสเสียที ซึ่งเราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไรกันแน่ ทราบคร่าวจากนพรัตน์ และประเวส ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเมล์ ซึ่งเราก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรกับน้องเค้ามากนักกลัวเค้าลำบากใจในการตอบ รอให้ถึงคิวเราค่อยสอบถามจากเจ้าหน้าที่ดีกว่า
...สรุปที่ตำรวจสอบสวนก็คือมีคนเข้าไปสร้างเมล์ User ชื่อ temp@mission-hospital.org และทำการ re-direct เมล์ของฝ่ายบริหารมาที่ temp@mission-hospital.org ตำรวจถามเราว่าเราได้สร้างใช่หรือเปล่า เราก็บอกว่าใช่ ตำรวจถามว่าทำไมถึงสร้าง ทั้งที่ลาออกจากงานแล้ว ฉันก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ทางตำรวจทราบ และก็บอกว่าการที่ต้องออกจากงานนั้น หน้าที่นี้ที่รับผิดชอบก็ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้ใครรับผิดชอบต่อ และก็เป็นหน้าที่ที่ถือว่าเป็นความลับฉันก็ไม่กล้าที่ส่งมอบให้ใครทำ เลยดูแลมาเรื่อย ๆ และก็ได้สร้าง temp@ ดังกล่าวเพื่อสำรองเก็บข้อมูลเมล์ของฝ่ายบริหารอีกชุดหนึ่ง เพื่อป้องกันเมื่อมีการสูญหายจะได้หามาให้ได้ และได้ทดสอบการทำงานโดยการ re-direct จาก temp@ สำเนาต่อมาที่เมล์ของฉัน ซึ่งนาน ๆ ฉันก็จะเข้าไปดูแลความเรียบร้อยเช่นเคยทำเพราะถือว่าเป็นหน้าที่ที่ยังต้องรับผิดชอบต่อไป ก็เพราะฉันรักโรงพยาบาลจึงได้ทำเช่นนั้น จนถึงประมาณกลางเดือน มิถุนายน 2550 ฉันก็ไม่สามารถเข้าไปจัดการระบบดังกล่าวได้ และฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อไปเพราะคิดว่าคงจะมีคนมาดูแลต่อแล้ว และฉันก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้วจนถึงปัจจุบัน เมื่อเล่าดังนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจร้อง "อ้อ เป็นเช่นนี้เอง" ตำรวจบอกว่าแล้วทำไมไม่คุยกันให้เข้าใจ ฉันแปลกใจมากตำรวจเข้าใจสิ่งที่ฉันทำ แต่เพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมหลักความเชื่อเดียวกันกับฉันทำไมถึงไม่เข้าใจ? เขาคิดอะไรของเขา?
... จนวันดังกล่าวที่ฉันมาให้ปากคำ ฉันจึงทราบว่าได้มีการแจ้งความไว้เมื่อวันที่ 1 ธค.50 ที่สถานีตำรวจนางเลิ้ง เพราะมีหัวหน้าไอทีคนใหม่ไปตรวจพบสิ่งที่ฉันได้ทำไว้ และก็ไปรายงานผู้อำนวยการ เลยกลายเป็นว่าฉันดักรับข้อมูลของฝ่ายบริหารไป ทางโรงพยาบาลจึงไปแจ้งความจะเอาผิดกับฉันให้ได้เลย...แต่ก็แปลกใจทำไมไม่เรียกฉันไปคุยถือสอบถามกันก่อนเพราะฉันก็ไปโบสถ์ที่นั่นเกือบทุกเสาร์ ฉันเสียใจจริง ๆ กับการกระทำแบบไร้ซึ่งมนุษยธรรมที่ได้กระทำกับฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้ถือโทษหรือว่าโกรธอะไร แต่ฉันกลับเห็นว่าซาตานนี่ช่างเก่งกาจจริง ๆ สิ่งที่เราทำมันอาจจะผิดมากในสายตาของเขาก็ได้ หรือไม่ก็ผิดจนไม่สามารถที่จะให้อภัยได้ ช่างเถอะฉันรู้ตัวฉันเองว่าฉันทำอะไร และมีเจตนาอย่างไรก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่อย่างไร ฉันคงบังคับใครไม่ได้ ฉันเพียงแต่หวังว่าสักวันหนึ่งความจริงมันก็คงจะต้องปรากฏว่าอะไรเป็นอะไร
...ฉันได้แต่เพียงหวังว่าจะมีสิ่งที่ดี ๆ ให้ชืนใจตามมานะ หลังจากที่ได้รับสิ่งที่ฉันคิดว่าร้ายแล้วล่ะ...สำหรับฉัน
...วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ฉันได้ไปที่ สน.นางเลิ้งอีกครั้ง ตามโทรศัพท์นัดหมายของร้อยเวร ได้พูดคุยกับร้อยเวรแล้วก็รู้สึกว่า เขาเอือมระอากับทนายและก็หัวหน้าไอที ของโรงพยาบาลเป็นอย่างมากฟังจากที่เขาเล่าให้เราฟังนะ เราก็ฟังและก็บอกเค้าว่ามันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของเขา ทนายว่าความก็อยากจะได้ค่าตอบแทนในเมื่อคดีไม่จบก็คงจะไม่ได้อะไร ร้อยเวรบอกว่าเราจะมีหลักฐานอะไรมาต่อสู้หักล้างกับเขาอีกไหม ความจริงคดีนี้ ร้อยเวรบอกว่าจะจบลงแล้วก็ส่งเรื่องให้อัยการ เพราะไม่มีเหตุของความผิดและก็เป็นเหตุที่เกิดก่อนพรบ.จะออกด้วย แต่ทางทนายและหัวหน้าไอที ก็ยังเสาะหาข้อมูลมาเพิ่มบอกว่าจะเอาผิดให้ได้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาถูกสั่งให้ทำแบบนั้นโดยผู้นำองค์กรหรือเปล่านะ แต่อย่างไรก็ช่างเถอะในเมื่อเขาไม่ยอมก็สุดแล้วแต่จะเป็นไปเราบอกอย่างนี้กับร้อยเวร และก็เล่าถึงหลักความเชื่อของศาสนาของเราว่าการแก้แค้น และการต้องฟ้องร้องกันถึงในศาลเป็นเรื่องที่น่าอายอย่างยิ่งเพราะมันขัดกับหลักความเชื่อและสิ่งที่เราได้สอนผู้อื่น แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะไปสอนใครได้ ร้อยเวรก็เข้าใจ สิ่งที่ร้อยเวรไม่เข้าใจตอนนี้ก็คือทำไมโรงพยาบาลถึงได้จะเอาผิดให้ได้ก็ไม่รู้นะ หรือว่าเขามีความผิดอะไรซ่อนไว้ใน อีเมล์ ที่ไม่อยากให้คนอื่นรับรู้ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะไม่ได้สนใจ เพราะไม่เห็นสำคัญอะไรกับเราสักหน่อย เราต้องอดทนต่อไปกับการทดลองนี้ แต่บางครั้งก็เหลืออดจริง ๆ เคยคิดจะต่อสู้แต่ก็เป็นแค่ความคิดแค่แว๊บ ๆ ถ้าเป็นเราสมัยก่อนหลายปีมาแล้วไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นนะเพราะเราใจร้อนมาก แต่เราก็สงบลงได้ เราขอมอบทุกอย่างให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินก็แล้วกัน พระองค์มีทางแก้ไขปัญหาที่ดีเสมอ และเราก็จะรับทุกอย่างที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม และสมควรให้เป็น รอต่อไป..........